ความทรงจำเกี่ยวกับหลวงพ่อรวย วัดตะโก ผู้เขียนเคยมีโอกาสได้กราบนมัสการหลวงพ่อรวย วัดตะโก ด้วยความบังเอิญครั้งหนึ่งเมื่อช่วงปี2540 ครั้งนั้นถือเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนได้พบองค์ท่านจริงๆ และยังมีโอกาสสัมผัสรับรู้ถึงพลังสมาธิจิตของท่านด้วยประสบการณ์ตรงของผู้เขียนเองจนจดจำมาจนถึงวันนี้เวลานั้นผู้เขียนจบการศึกษาและเริ่มมีงานทำมาพักใหญ่แล้ว แต่ด้วยความที่ยังรักในเรื่องพวกประวัติศาสตร์โบราณคดี ช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์จึงมักขับรถเที่ยวตระเวนไปดูโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์แถบอยุธยา อ่างทอง ชัยนาท อยู่เนืองๆ วันหนึ่งได้ขับรถไปเยี่ยมชมวัดกลางคลองตะเคียน(วัดกลางปากกราน) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แหล่งพื้นที่กำเนิดพระกริ่งโบราณเนื้อดินที่มีชื่อเสียงลือลั่น ผู้เขียนไม่เคยมาที่วัดนี้มาก่อนจึงตั้งใจจะมาเที่ยวชมโบสถ์วิหารและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของที่นี่ เมื่อมาถึงที่วัดในช่วงบ่ายโมงกว่าๆ พบว่าภายในวัดมีการจัดงานบุญอะไรสักอย่างหนึ่งอย่างครึกครื้น ผู้เขียนคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นงานฉลองศาลา หรืองานบุญก็ไม่แน่ใจ แต่พบว่ามีญาติโยมทยอยกันมาที่วัดเป็นจำนวนมาก ผู้เขียนได้พบและพูดคุยกับท่านเจ้าอาวาสในขณะนั้น เกิดศรัทธาขอร่วมเป็นเจ้าภาพเสาปูนหนึ่งต้นสำหรับการก่อสร้างเสนาสนะ ท่านเจ้าอาวาสก็อนุโมทนาบุญกับผู้เขียนและถามขึ้นว่า โยมรู้จักหลวงพ่อรวยไหม หลวงพ่อรวยวัดตะโกน่ะ ผู้เขียนตอบว่ารู้จักแต่ไม่เคยพบท่านมาก่อน ท่านเจ้าอาวาสเลยกล่าวกับผู้เขียนว่า หลวงพ่อรวยท่านหลบญาติโยมมาที่นี่วันนี้ ท่านพักอยู่ที่โบสถ์ท้ายวัด ไปกราบท่านสิ แล้วท่านก็ให้สามเณรรูปหนึ่งเดินนำผู้เขียนไป ด้านหลังวัดมีโบสถ์โบราณขนาดย่อมๆหลังหนึ่ง ดูเก่า ทรุดโทรม แต่ดูศักดิ์สิทธิ์มากในความรู้สึก
เมื่อมาถึงหน้าโบสถ์ เณรได้แง้มประตูแล้วบอกให้ผู้เขียนรีบเข้าไป พร้อมสำทับว่าเดี๋ยวคนจะเห็น แล้วก็ปิดประตูโบสถ์ไว้เหมือนเดิม เมื่อเข้าไปในโบสถ์แล้ว ผู้เขียนก็ได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนอาสนะข้างหน้าด้านขวามือของพระประธาน ท่านมีผิวสีคล้ำ รูปร่างผอม นั่งสงบนิ่งอยู่อย่างน่าเลื่อมใส ด้านข้างมีกาน้ำชาเล็กๆชุดหนึ่ง ในใจก็คิดไปว่า หลวงพ่อรูปนี้หรือคือหลวงพ่อรวย แห่งวัดตะโก ที่เขาร่ำลือกัน วันนี้ถือว่ามีบุญมีวาสนามากที่ได้มาพบท่านอย่างไม่คาดคิดที่วัดแห่งนี้ ผู้เขียนคลานไปกราบตรงหน้าท่าน ท่านพูดเบาๆถามผู้เขียนว่ามาจากไหน อย่างไร ด้วยน้ำเสียงที่มีเมตตามาก ผ่านไปครู่หนึ่งท่านหยิบนาฬิกาพกโบราณแบบตลับมาเปิดดูเวลาเหมือนจะคำนวณอะไรสักอย่าง แล้วท่านก็เรียกผู้เขียนเข้าไปใกล้ๆ ให้ก้มหัว ท่านจะจารกระหม่อมให้ ผู้เขียนดีใจมากแต่ยังมีสติสำรวมระวังและสังเกตเห็นว่าหน้าต่างของโบสถ์ทั้งสองฝั่งซ้ายขวาถูกเปิดแง้มอยู่เพื่อระบายอากาศอยู่ทุกบาน มีเพียงประตูโบสถ์เท่านั้นที่ปิดสนิทผู้เขียนจำได้ไม่เคยลืมเลยว่า ขณะที่หลวงพ่อรวยท่านบริกรรมคาถาและเริ่มใช้นิ้วจารลงบนศรีษะของผู้เขียน ภายนอกโบสถ์ปรากฎเหมือนมีลมพายุแรงหอบใหญ่ หอบหนึ่ง พัดอย่างรุนแรงจนทำให้ หน้าต่างไม้ขนาดใหญ่ของโบสถ์ทุกบานตีกลับเข้ามาปิดสนิทพร้อมกันหมดทุกบานจนโบสถ์มืดไปหมด (ขอย้ำว่าทุกบานครับ) ผู้เขียนตกใจเสียงบานหน้าต่างตีปิดเสียงดังจนสะดุ้ง และงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วขณะ เหลือบตาดูเบื้องหน้ายังเห็นหลวงพ่อรวยท่านก็ยังบริกรรมคาถาและจารยันต์บนศรีษะอยู่ จนเมื่อท่านเสร็จพิธีและเป่าไปที่กระหม่อมผู้เขียนอีกครั้ง ผู้เขียนจึงสังเกตเห็นว่าโบสถ์สว่างขึ้นเพราะหน้าต่างแต่ละบานที่ปิดสนิทอยู่ ทุกบานได้คลายตัวเองออกกลับมาอยู่ในลักษณะเปิดแง้มเหมือนเดิมตามธรรมชาติจนโบสถ์สว่างดังเดิม นับเป็นเหตุที่น่าอัศจรรย์มาก
เมื่อผู้เขียนกราบลาท่านออกจากโบสถ์ พบสามเณรยืนรอนำทางเดินกลับ ผู้เขียนยังคิดอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างที่ท่านทำพิธีให้ในช่วงสั้นๆนั้นเป็นความบังเอิญของลมตามธรรมชาติหรือเป็นเพราะสิ่งใดกันแน่ ระหว่างเดินออกมาจึงลอบมองสำรวจภายนอกของโบสถ์และพบว่า ด้วยทิศทางการเปิดของหน้าต่างทั้งฝั่งซ้ายและขวาตลอดจนลักษณะของสิ่งแวดล้อมรอบโบสถ์ที่ปรากฎ (ตามภาพประกอบ) ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เชื่อได้เลยว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญจากลมธรรมชาติตีปิดหน้าต่างทุกบานเข้ามาพร้อมกันได้เองหลังจากวันนั้น ผู้เขียนได้มีโอกาสไปกราบท่านอีกครั้งในอีกหนึ่งปีให้หลังที่วัดตะโก ท่านได้เมตตามอบเหรียญที่ระลึกให้กับคณะของผู้เขียนทุกคนด้วย ปัจจุบันหลวงพ่อรวยได้มรณภาพไปหลายปีแล้ว ผู้เขียนนึกถึงเลยไปค้นหิ้งพระพบเหรียญที่ระลึกในกล่องที่ท่านมอบให้มา เลยได้มีโอกาสเขียนเล่าเรื่องนี้ด้วยความน้อมระลึกถึงท่าน ว่าจะไม่เขียนเรื่องแบบนี้แล้วเชียว เพราะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่พิสูจน์ได้ยากแต่แก่แล้วกลัวว่าต่อไปจะลืม อย่างไรก็ขออนุญาตเล่าฝากไว้สักโพสต์ด้วยความระลึกถึงครูบาอาจารย์และความเมตตาของท่านนะครับ อย่าว่ากัน
พระยอดนิยมของหลวงพ่อรวย รุ่นเลื่อนสมณศํกดิ์ปี59